วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

การอธิบาย บรรยายและพรรณนา

การใช้ภาษาอธิบาย บรรยายและพรรณนา


การอธิบาย

ความหมาย       หมายถึง  การทำให้บุคคลอื่นเข้าใจในความจริง ความสัมพันธ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ
วิธีการอธิบาย    มีหลายวิธี ดังนี้
1.       ชี้แจงตามลำดับขั้น เป็นการอธิบายกิจกรรม การปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เป็นกระบวนการหรือกรรมวิธี
2.       ใช้ตัวอย่าง  เป็นการอธิบายหลักการ วิธีการ ข้อความรู้ที่เข้าใจยาก โดยใช้ตัวอย่างช่วยในการอธิบาย
3.       เปรียบเทียบความเหมือนกันและแตกต่างกัน เป็นการอธิบายสิ่งแปลกใหม่ที่ผู้ฟังยังไม่คุ้นเคยมาก่อน แล้วหาสิ่งที่ผู้ฟังคุ้นเคยมาเปรียบ  
4.       ชี้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน บางเรื่องที่อธิบายอาจเป็น เรื่องที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ ก็ต้องอธิบายกันว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลลัพธ์

5.       ให้นิยาม  เป็นการอธิบายความหมายของคำ  / คำศัพท์ ที่มักใช้ถ้อยคำสั้นๆ  ทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านไม่เข้าใจ จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มให้เข้าใจยิ่งขึ้น


ตัวอย่างการอธิบาย   ด้วยวิธีชี้แจงลำดับขั้น
          “การกราบ ใช้ในโอกาสที่แสดงความเคารพอย่างสูงต่อผู้มีอาวุโส
ส่วนมากขณะนั่งกับพื้น การปฏิบัติมีดังนี้

1.      คุกเข่าลงทั้งสองข้าง
2.      นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า
3.      ก้มตัวลงหมอบให้แขนทั้งสองข้างอยู่ข้างเข่าที่ยื่นออกมา
4.      พนมมือให้อยู่ในระดับพื้น
5.      ก้มศีรษะลงจรดนิ้วหัวแม่มือ                                                                                         
                                               มรรยาทไทย   ของ  ผอบ  โปษกฤษณะ


ตัวอย่างการอธิบาย   ด้วยวิธีใช้ตัวอย่าง
       การค้นพบบางอย่างในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจิตวิทยาของตะวันตก ได้ให้หลักฐานสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนาว่าด้วยชีวิตในชาติปางก่อน
        ตัวอย่าง ผู้หญิงถูกสะกดจิตรายหนึ่งได้เล่าย้อนความทรงจำของเธอไปหลายร้อยปีกว่า เธอเคยเป็นแม่บ้านอยู่ในฝรั่งเศสมาก่อน นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับความถูกต้องของสถานที่ ภาษา และวิถีชีวิตของคนสมัยนั้นที่เธอได้เล่าให้ฟังตอนนั้น และอีกหลายรายที่มีประวัติของการย้อนระลึกถึงชาติปางก่อน

ซึ่งได้ตีพิมพ์ในนิตยสารจากนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่มีชื่อเสียง
                                                  หนังสือธรรมะ ฉบับ แก้ทุกข์ใจ ชุดที่ ๑ ของ เชวง  เดชะไกศยะ


ตัวอย่างการอธิบายด้วยวิธีเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างกัน
           รามเกียรติ์   รัชกาลที่ 1    มีความมุ่งหมายเพื่อรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์  ซึ่งกระจัดพลัดพรายอยู่นั้น ให้คุมกันเข้าเป็นเรื่องละเอียดลออ ทุกแง่ทุกมุม แม้จะแต่งเป็นกลอนบทละคร  แต่ก็มิได้คำนึงถึงการนำไปแสดงละครเป็นประการสำคัญ
           รามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2   มีความมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นบทละครในโดยตรง
                                                     รามเกียรติ์ปริทัศน์  ของ ชำนาญ รอดเหตุภัย


ตัวอย่างการอธิบายด้วยวิธีชี้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน
              เพราะสังคมนิยมส่งเสริมความสำราญ ให้คุณค่าแก่วัตถุที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก สังคมจึงเชิดชูความมั่งคั่งมากกว่าคุณธรรม  เงินจึงได้รับการบูชามากกว่าน้ำใจ ความแล้งน้ำใจครั้งนั้นเป็นเครื่องชี้แสดงถึงความแล้งน้ำใจในบ้านเมือง ซึ่งจะต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะสายเกินไป
                  คุณค่าชีวิต  ของ  ระวี  ภาวิไล


ตัวอย่างการอธิบายด้วยวิธีให้นิยาม
              ที่จริงแล้ว  โขนก็คือละครรำชนิดหนึ่งนั่นเอง (ละครใน) ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 อธิบายความหมายไว้ว่า  โขน  คือ ละครชนิดหนึ่งซึ่งผู้เล่นสวมหน้ากากและหัวต่างๆที่เรียกว่า หัวโขน ส่วนละครนั้นนิยามไว้ว่า คือการมหรสพอย่างหนึ่งที่เล่นเป็น                                                                 โขนละครฟ้อนรำ ภาคพิเศษ ของ สุนันทา โสรัจจ์


การบรรยาย


ความหมาย    หมายถึง  การเล่าเรื่องหรือประสบการณ์ของผู้เขียนให้ผู้อ่านได้รับรู้และเข้าใจ เหมือนกับผู้อ่านได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง
วิธีการบรรยาย      อาจทำได้หลายวิธี โดยพิจารณาตามความเหมาะสมแก่เนื้อเรื่องหรือจุดประสงค์ของตน  เช่น
1.       บรรยายให้ครบว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่ออะไร
2.       บรรยายโดยเน้นเหตุการณ์ตามลำดับของเวลาที่เป็นจริง
3.       บรรยายโดยสลับเหตุการณ์ คือ อาจจะเริ่มจากเหตุการณ์สุดท้ายของเรื่องแล้วย้อนกลับไปกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนต้น หรืออาจสลับเปลี่ยนกันบ้างก็ได้
4.       เลือกเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญ   ที่ส่งผลเกี่ยวเนื่องถึงเหตุการณ์อื่นๆมาบรรยาย
5.       เลือกใช้วิธีอื่นๆแทรกไว้ในการบรรยาย เช่น แทรกบทพรรณนา หรือผูกเรื่องเป็นบทสนทนา โดยการตั้งคำถามให้คิด แล้วคลี่คลายเป็นคำตอบ

ตัวอย่างการบรรยาย
           ผมเกิดที่บ้านสวน ธนบุรี หน้าบ้านติดคลองวัดดอกไม้ไม่ไกลจากสถานีตำรวจบุปผารามปัจจุบันมากนัก สถานีตำรวจแห่งนี้สร้างมาก่อนผมเกิด แต่ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เดิมเป็นเรือนไม้สูง พื้นชั้นล่างลาดซีเมนต์ มีเรือนพักตำรวจเป็นเรือนแถวเก่าๆไม่กี่ห้อง หน้าโรงพักมีถนนผ่านกลาง ฝั่งตรงข้ามคือวัดดอกไม้ ซึ่งเป็นศัพท์ชาวบ้าน ภาษาราชการเรียกว่า วัดบุปผาราม
                  เด็กบ้านสวน  ของ พ.เนตรรังษี



การพรรณนา


ความหมาย      หมายถึง   การเรียบเรียงข้อความเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ประทับใจ เกิดจินตนาการ     คือ  ทำให้เห็นภาพและมีความรู้สึกร่วมกับผู้เขียน
วิธีการพรรณนา  มีหลายวิธี ดังนี้
1.       แยกส่วนประกอบสิ่งที่จะพรรณนา  โดยชี้ให้เห็นว่า แต่ละส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างไร
2.       ชี้ลักษณะเด่น  
3.       การใช้ถ้อยคำ   ต้องเลือกสรรถ้อยคำที่เหมาะสมทั้งเสียงและความหมาย   เพื่อให้ผู้อ่านเกิดมโนภาพ เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์


ตัวอย่างการพรรณนา ด้วยวิธีชี้ลักษณะเด่น
              อ้อมผ่านไม้ใหญ่ขนาดสองโอบ กองธงทั้งสี่พบเห็นพญาลอหมอบซุกอยู่กลางกอหญ้าเหลืองเกรียมหน้าแดงสดใสดังสีน้ำคร่ำ ขนปีกเลื่อมระยับจับแดดเป็นสีเขียวก่ำแกมคราม แล้วทาทับด้วยทองแจ่มจนสว่างไสว ขนหางอ่อนโค้งราวแกล้งดัด เหลือบแรรุ้งร่วง กลมกลืนอ่อนแก่ดูเรียวระหง ขนอกอ่อนนุ่มดูนวลเนียนราวไม่เคยคลุกฝุ่นเผ้าละอองดิน
                   หุบเขากินคน ของ มาลา คำจันทร์



 ตัวอย่างการพรรณนา  

   “ อันเทวาลัย  ซึ่งมีผนังดำคร่ำด้วยความชรา ประหนึ่งว่า  ยินดีรับเอาแสงแดดกำลังรอนๆจวนจะเลือนหายไปจากฟ้า  เปรียบด้วย ชายชราได้ดื่มน้ำทิพย์แล้ว กลับฟื้นคืนความกระชุ่มกระชวยขึ้น  ฉะนั้นภายล่างแห่งแสงซึ่งเรืองรองดั่งทองทาประสมกับเงาไม้กลายเป็นสีม่วงแลดูเต้นระยับไปทุกแห่งหน  ถึงเวลาตอนนี้ที่ประชุมสงบเงียบยิ่งกว่าเก่า   เงียบจนดูเหมือนใบไม้ที่เคยไหวก็หยุดเงียบไปด้วย 

ตัวอย่างการพรรณนา โดยการใช้ถ้อยคำ
          " รัศมีมีเพียงเสียงดนตรี         ประทีปทีฆรัสสะจังหวะโยน
 ระเมียนไม้ใบโบกสุโนกเกาะ           สุดเสนาะเสียงนกซึ่งผกโผน
โผต้นนั้นผันตนไปต้นโน้น                จังหวะโจนส่งจับรับกันไป"

ตัวอย่างการพรรณนา โดยการใช้ถ้อยคำ
        สูงระหงทรงเพรียวเรียวรู     งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา        ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย            จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตรีหักงอ                 ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังคุงตะเคียว        โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม         มันน่าเชยน่าชมนางเทวี"       
 [บทละคร เรื่องระเด่นลันได  ของพระมหามนตรี(ทรัพย์)]


ตัวอย่างการพรรณนา โดยการใช้สัญลักษณ์ช่วย
          เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้     มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ                           ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา


แนวทางการพัฒนาความสามารถในการอธิบาย  บรรยาย  และพรรณนา       มีดังนี้
1.       อ่านมากฟังมาก 
2.       ช่างสังเกต
3.       จดบันทึก
4.       ใช้ภาษามีประสิทธิภาพ
5.      ฝึกฝนอยู่เป็นนิจ




วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

การโต้แย้ง แสดงทรรศนะและโน้มน้าวใจ

การโต้แย้ง

การโต้แย้ง  หมายถึง การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย  ซึ่งแต่ละฝ่ายจะต้องพยายามหาหลักฐาน เหตุผล ข้อมูลมาสนับสนุนทรรศนะของตนเองให้น่าเชื่อถือ

โครงสร้างของการโต้แย้ง  ประกอบด้วย
 ๑.  ข้อสรุป
 ๒.  เหตุผล

หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง ไม่จำกัดขอบเขต แต่ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะโต้แย้งในหัวข้อใด

กระบวนการโต้แย้ง

การโต้แย้ง แบ่งได้เป็น ๔ ขั้นตอน  ดังนี้
  ๑.   การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
  ๒.   การนิยามคำและกลุ่มคำสำคัญที่อยู่ในประเด็นของการโต้แย้ง
  ๓.   การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
  ๔.   การชี้ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะของฝ่ายตรงกันข้าม


      ๑.     การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง  มี  ๓   ประเภท  คือ
-         เกี่ยวกับนโยบาย หรือข้อเสนอ  เพื่อให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิม
-         เกี่ยวกับข้อเท็จจริง
-         เกี่ยวกับคุณค่า
      ทั้ง๓ ประเภทนี้  มักจะมีความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย
     
      ๒.      การนิยามคำและกลุ่มคำสำคัญที่อยู่ในประเด็นการโต้แย้ง
             การนิยามคำและกลุ่มคำสำคัญ  หมายถึง  การกำหนดความหมายของคำและกลุ่มคำให้รัดกุม และแจ่มชัดลงไปว่า   ผู้นิยามต้องการที่จะให้ขอบเขตของความหมายของคำและกลุ่มคำนั้นๆครอบคลุมหรือบ่งชี้ถึงอะไรบ้าง คำสำคัญที่อยู่ในประเด็นการโต้แย้งจะช่วยกำจัดขอบเขตและทิศทางของการโต้แย้ง

       ๓.     การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุน ทรรศนะของตน
          อาจค้นหาได้จากการอ่าน การฟัง การสัมภาษณ์ และการสังเกตด้วยตนเอง

       ๔.      การชี้ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะฝ่ายตรงข้ามซึ่งมี  ๓  ประการ คือ
     -         ชี้จุดอ่อนของการนิยาม
     -         ชี้จุดอ่อนในด้านปริมาณความถูกต้องของข้อมูล
     -         ชี้จุดอ่อนของสมมุติฐานและวิธีการอนุมาน

การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง   มี  ๒  แบบ   คือ

        ๑.     พิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระที่แต่ละฝ่ายนำมาโต้แย้งกัน
          เช่น   การตัดสินโต้วาทีการตัดสินคดีของผู้พิพากษา
        ๒.     วินิจฉัยโดยใช้ดุลพินิจของผู้ตัดสินมาประกอบการพิจารณา
          เช่น  การตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง  การตัดสินเพื่อลงมติในที่ประชุม

           ข้อควรระวังในการโต้แย้ง
        ๑.     ควรหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์
        ๒.     ควรมีมารยาทในการใช้ภาษา (วัจนภาษาและอวัจนภาษา)
        ๓.     

ควรเลือกประเด็นที่มีแนวทางสร้างสรรค์และก่อให้เกิดประโยชน์

สรุป  ข้อสังเกตในการโต้แย้ง
   ๑.     เปิดโอกาสให้มีการโต้แย้ง
   ๒.     จำนวนผู้โต้แย้ง  ระยะเวลา
   ๓.     ต้องใช้ความคิด วิจารณญาณ ที่อาศัยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์


ตัวอย่าง


  ตัวอย่าง    ข้อความการโต้แย้ง  
      การเดินประท้วงของกลุ่มนักวิชาการ ประชาชนระดับสูงและระดับกลางไม่พอใจที่ผู้นำไร้คุณธรรมจริยธรรม ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในกรณีการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี

ที่มา...คู่มือเตรียมสอบภาษาไทย O-met  A-net  ของ  อ.เพลินใจ และอ.นันทพงศ์ พฤกษชาติรัตน์


     จากตัวอย่างข้อความข้างต้น        
         การโต้แย้ง  ประกอบด้วย  เหตุผลและข้อสรุป    
              ข้อความที่เป็นเหตุผล       ผู้นำไร้คุณธรรม
              ข้อความที่เป็นข้อสรุป      กลุ่มนักวิชาการ ประชาชนระดับสูงและระดับกลาง เดินประท้วง




การใช้ภาษาแสดงทรรศนะ

โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ    ประกอบด้วยส่วนสำคัญ  ๓  ส่วน คือ
  .  ที่มา คือ  ส่วนที่เป็นเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เกิดการแสดงทรรศนะ
  .  ข้อสนับสนุน คือ  ข้อเท็จจริง  หลักการ รวมทั้งทรรศนะหรือมติของผู้อื่น ที่ผู้แสดงทรรศนะนำมาใส่เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตน
  .  ข้อสรุป คือ  สาระสำคัญที่สุดของทรรศนะอาจเป็นข้อเสนอแนะ ข้อวินิจฉัยหรือประเมินค่า



ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล
.   คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์  ได้แก่   เชาว์  ปฏิภาณ  ไหวพริบ  ความถนัด   เป็นต้น จะพัฒนาได้เต็มที่ต้องอาศัยการส่งเสริมและสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อม 
.  อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม  อาจเป็น ธรรมชาติ   หรือสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่อยู่แวดล้อมตัวมนุษย์

     ความรู้ ประสบการณ์   -  จะทำให้บุคคลแสดงทรรศนะได้แตกต่างกันไป
     ความเชื่อ   -  บุคคลแสดงทรรศนะต่างกันตามความเชื่อ ซึ่งได้จากการศึกษาอบรมทางครอบครัว และสิ่งแวดล้อม หรือวัยและประสบการณ์

     ค่านิยม   -  คือ ความรู้สึกที่มีอยู่ในจิตใจแต่ละคนเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมและอิทธิพลต่อการแสดงทรรศนะของบุคคล




   ประเภทของทรรศนะ
๑.   ทรรศนะเกี่ยวกับข้อเท็จจริง  คือ  ทรรศนะที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว  แต่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง  จึงมีการถกถียงกัน  การแสดงทรรศนะประเภทนี้จึงเป็นเพียงการสันนิษฐานจะน่าเชื่อถือเพียงใดขึ้นกับข้อสนับสนุน 
๒.  ทรรศนะเกี่ยวกับคุณค่า  ค่านิยม  เป็นทรรศนะที่ประเมินว่า สิ่งใดดีหรือด้อย เป็นประโยชน์หรือ โทษ
๓.  ทรรศนะเกี่ยวกับนโยบาย เป็นทรรศนะที่บ่งชี้ว่า ควรทำอย่างไรอย่างไรต่อไปในอนาคต หรือ ควรแก้ไขปรับปรุงสิ่งใด ไปในทางใด อย่างไร  การแสดงทรรศนะเกี่ยวกับนโยบาย มักจะต้องเสนอข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนนโยบายและประเมินค่านโยบายที่เสนอนั้นด้วย

วิธีใช้ภาษาในการแสดงทรรศนะ
             ภาษาที่ใช้ในการแสดงทรรศนะนั้น  จะต้องใช้ถ้อยคำกะทัดรัด ให้คำที่มีความหมายแจ่มชัด
การเรียงลำดับความไม่สับสน วกวน  และต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับระดับการสื่อสาร


ลักษณะที่ควรสังเกตในการใช้คำหรือกลุ่มคำในการแสดงทรรศนะ

. ใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ หรือคำนามที่ประกอบกับกริยาวลีที่ชี้ชัดว่า เป็นการแสดงทรรศนะ เช่น
          -   พวกเรามีความเห็นว่า ………
          -   ข้าพเจ้าเข้าใจว่า…………..…
          -   ผมขอสรุปว่า………………...
. ใช้คำหรือวลีที่บ่งชี้ว่าเป็นการแสดงทรรศนะเช่นคำว่า  น่า    คง  คงจะ  ควร  พึง  ตัวอย่าง
          -   รัฐบาลน่าจะทบทวน………………
          -   คณะนักเรียนคงเข้าใจผิดว่า……….
         -   โรงเรียนควรจะต้องคำนึงถึง………





ลักษณะทรรศนะที่ดี  ประเมินค่า   ดังต่อไปนี้

1.  มีประโยชน์และลักษณะสร้างสรรค์  ทรรศนะที่ดีควรก่อให้เกิดประโยชน์ และก่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ขณะเดียวกันก็คงสิ่งดีงามของสังคมไว้
2.  มีความสมเหตุสมผล น่าเชื่อถือ  ทรรศนะที่ดีจะต้องมีข้อสนับสนุนที่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ข้อสรุปน่าเชื่อ

3.  ความเหมาะสมกับผู้รับสารและกาลเทศะ ในการพิจารณาจะต้องพิจารณาด้วยว่าทรรศนะนั้นแสดงแก่ผู้ใดและในโอกาสใด เพื่อจะประเมินได้ว่าเหมาะสมหรือไม่
4.  ใช้ภาษาชัดเจน  ภาษาที่ใช้ต้องชัดเจนแม่นตรงตามที่ต้องการ และเหมาะสมแก่ระดับการสื่อสาร
หรือไม่ เพียงใด


            การใช้ภาษาเพื่อโน้มน้าวใจ                 


การโน้มน้าวใจ  หมายถึง  การใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติ  ค่านิยมและพฤติกรรมของบุคคลอื่น ด้วยกลวิธีที่เหมาะสมจนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตามที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ



กลวิธีการโน้มน้าวใจ มี    6   วิธี  ดังนี้
1.   แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจ  
บุคคลผู้โน้มน้าวใจจะต้องมีคุณลักษณะ ๓ ประการ คือ  
มีความรู้จริง มีคุณธรรมและปรารถนาดีต่อผู้อื่น
2.  แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นของเหตุผล คือ  
มีเหตุผลและข้อสรุปที่หนักแน่น ควรค่าแก่การยอมรับ
3. แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมกัน  คนที่มีความรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมกันย่อมคล้อยตามกันได้ง่ายกว่าคนที่เป็นปฏิปักษ์
4.  แสดงให้เห็นทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสีย  เพื่อให้มีโอกาสใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบว่าทางที่แนะดีกว่า
5.   สร้างความหรรษาแก่ผู้รับสาร ทั้งนี้ต้องให้เหมาะสมกับกาลเทศะด้วย

6. เร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า  เพราะเมื่อเกิดอารมณ์ มักขาดเหตุผลขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็จะตัดสินใจคล้อยตามผู้โน้มน้าวใจได้ง่าย


ลักษณะ น้ำเสียงของภาษาที่โน้มน้าวใจ
             ควรเป็นลักษณะเชิงเสนอแนะ  ขอร้อง  วิงวอนหรือเร้าใจ การใช้ถ้อยคำให้เกิดน้ำเสียงดังกล่าว จะต้องเลือกใช้คำให้สื่อความหมายตามที่ต้องการ


การพิจารณาสารโน้มน้าวใจลักษณะต่างๆ
1.  คำเชิญชวน   เป็นการแนะให้ช่วยกันกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น แผ่นปลิว  ประกาศ  โปสเตอร์  
     หากเป็นประกาศเชิญชวน  มักจะบอกจุดประสงค์ไว้ชัดเจน ชี้ให้เห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม บอกวิธีปฏิบัติ หากทำได้จะได้รับการยอมรับย่างมีเกียรติในสังคม
      ตัวอย่างคำเชิญชวน  เช่น  ชวนให้บริจาคโลหิต  เชิญชวนให้บริจาคดวงตา
2.   โฆษณาสินค้า หรือโฆษณาบริการ   เป็นการส่งสารโน้มน้าวใจต่อสาธารณชน เพื่อประโยชน์ในการขายสินค้าและบริการเหล่านั้นซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ  ดังนี้
           -   บทโฆษณาจะมีส่วนนำที่สะดุดหู สะดุดตา โดยใช้ถ้อยคำแปลกๆใหม่ๆ น่าสนใจ
           -   ใช้คำกะทัดรัด รูปประโยคสั้นๆ ได้ความหมายชัดเจน
           -   เนื้อหาจะชี้ให้เห็นคุณภาพของสินค้า ส่วนมากจะเกินความเป็นจริง
      -  มุ่งสนองความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภค โดยพยายามจับจุดอ่อนกลุ่มเป้าหมาย เพราะจะทำให้คล้อยตามได้ง่าย
           -   เนื้อหาของโฆษณามักขาดเหตุผล ขาดความถูกต้องทางวิชาการ (ผู้ฟังต้อง รู้เท่าทัน)
           -   สารโฆษณา จะปรากฏทางสื่อต่างๆ ซ้ำๆหลายครั้ง เพื่อให้จำได้

การโฆษณาประเภทนี้   มีทั้งประโยชน์และโทษต่อสังคม

ประโยชน์ของการโฆษณา
         -   ทำให้รู้จักสินค้าและบริการที่หลากหลาย ส่งผลถึงยอดจำหน่ายทำให้สินค้าราคาถูกลงได้
         -   ทำให้สื่อมวลชนมีรายได้ จากค่าโฆษณา  ทำให้สามารถจัดรายการที่มีประโยชน์แก่สาธารณชนได้


    โทษของการโฆษณา
-         ทำให้ผู้รับสารเกิดการเข้าใจผิด
-         ทำให้ต้นทุนของสินค้าสูงขึ้น
-         มีผลเสียด้านการใช้ภาษา

-         เยาวชนมีค่านิยมที่ไม่ถูกต้องในบางเรื่อง

3.        โฆษณาชวนเชื่อ   เป็นการพยายามโดยเจตนาที่จะเปลี่ยนความเชื่อและการกระทำของบุคคลจำนวนมาก  ให้เป็นไปในทางที่ฝ่ายตนต้องการ ด้วยกลวิธีต่างๆโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามเหตุผลและข้อเท็จจริง

    การโฆษณาชวนเชื่อ  แบ่งอย่างกว้างๆได้  ๒  ชนิด  ดังนี้
๑.   การโฆษณาชวนเชื่อทางการค้า
๒.   การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง


กลวิธีที่นิยมใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ   ซึ่งผู้รับสารควรพิจารณา   มีดังนี้
๑.   ตราชื่อ  ฝ่ายตรงกันข้ามที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย ก็จะสรรหาชื่อแปลกๆ เพื่อเร้าอารมณ์ผู้ฟังทำให้เกิดภาพที่ไม่ดี    เช่น    สิงห์อมควัน     สิบแปดมงกุฎ     เจ้าพ่อเจ้าแม่  อันธพาล
๒.   การใช้ถ้อยคำหรูหรา  เพื่อให้เกิดความเลื่อมใส เชื่อถือ  ผู้รับสารหลงคล้อยตาม  โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง เช่น สิทธิเสรีภาพของเรา ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ประโยชน์ของปวงประชา
๓.  อ้างบุคคลหรือสถาบัน  การอ้างถึงบุคคลหรือสถาบันที่ผู้รับสารยอมรับนับถือ จะทำให้ผู้ฟัง
เกิดความเชื่อถือและคล้อยตามได้ง่าย

๔.  ทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา วิธีนี้เป็นการแสดงตนว่าเป็นพวกเดียวกัน เพื่อจะได้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งจะทำให้ชักจูงได้ง่าย
๕.  อ้างแต่ประโยชน์ตน  วิธีนี้จะชี้ให้เห็นแต่ประโยชน์ฝ่ายตน ไม่พูดถึงข้อบกพร่องให้รู้
๖.  อ้างคนส่วนใหญ่  การอ้างคนส่วนใหญ่ทำให้ผู้รับสารเห็นว่า คนส่วนใหญ่ปฏิบัติเช่นนั้น
เชื่อเช่นนั้น ถ้าผู้ฟังปฏิบัติเหมือนคนส่วนใหญ่ ก็จะไม่ผิดแผกไปจากคนอื่น